ไวรัสตับอักเสบบี ตัวการสำคัญของตับแข็ง มะเร็งตับข้อมูลที่คุณกล่าวถึงนั้นถูกต้องและเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความตระหนัก ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus หรือ HBV) เป็นตัวการสำคัญและเป็นสาเหตุหลักอันดับต้น ๆ ของการเกิดโรคตับแข็ง (Cirrhosis) และมะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma หรือ HCC) ทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย
ความสัมพันธ์ของ ไวรัสตับอักเสบบี กับตับแข็งและมะเร็งตับ
กลไกที่ไวรัสตับอักเสบบีนำไปสู่โรคตับที่รุนแรงมีดังนี้:
1. การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic Infection)
การติดเชื้อในวัยเด็ก: ผู้ที่ติดเชื้อ HBV ตั้งแต่แรกเกิดหรือในวัยเด็ก มักจะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่กว่า 90% จะกลายเป็น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาในระยะยาว
การอักเสบต่อเนื่อง: เมื่อเชื้อ HBV อยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน ระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามกำจัดไวรัสอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซลล์ตับถูกทำลายและเกิดการอักเสบซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานานหลายปี
2. การเกิดตับแข็ง (Cirrhosis)
พังผืดที่ตับ (Fibrosis): การอักเสบเรื้อรังทำให้ตับต้องซ่อมแซมตัวเองอยู่ตลอดเวลา การซ่อมแซมนี้ทำให้เกิดเนื้อเยื่อพังผืด (Scar Tissue) เข้ามาแทนที่เซลล์ตับที่เสียหาย
ตับแข็ง: เมื่อพังผืดสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนโครงสร้างของตับ ตับจะแข็งและเสียหน้าที่ในการทำงานตามปกติ เช่น การกรองสารพิษ การสร้างโปรตีน และการควบคุมการไหลเวียนเลือด ภาวะตับแข็งนี้เป็นระยะสุดท้ายของโรคตับเรื้อรัง
3. การพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma - HCC)
ความเสี่ยงสูงจากตับแข็ง: ผู้ป่วยตับแข็งจากทุกสาเหตุมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงอยู่แล้ว
ผลกระทบของไวรัสโดยตรง: นอกจากจะทำให้เกิดตับแข็งแล้ว ตัวไวรัส HBV เองยังสามารถแทรกเข้าไปในสารพันธุกรรม (DNA) ของเซลล์ตับ ทำให้เซลล์ตับเกิดการกลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด
สถิติ: มีรายงานว่าประมาณ 60%−80% ของผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทย มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
การป้องกันและดูแลรักษา
แม้ HBV จะเป็นภัยเงียบที่ร้ายแรง แต่ก็สามารถป้องกันและควบคุมได้:
การฉีดวัคซีน: วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ถือเป็นมาตรการหลักในการป้องกันการติดเชื้อเรื้อรังและมะเร็งตับ (ในประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนให้ทารกแรกเกิดทุกคน)
การคัดกรอง: ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือยังไม่เคยตรวจ ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง
การรักษา: สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อเรื้อรัง การรับประทานยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดปริมาณไวรัส ลดการอักเสบของตับ ชะลอการเกิดตับแข็ง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้อย่างมาก
การเฝ้าระวังมะเร็งตับ: ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังควรได้รับการตรวจติดตามค่าตับและตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง (Ultrasound) เป็นประจำทุก 6−12 เดือน เพื่อให้ตรวจพบมะเร็งตับได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นที่ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้